Last updated: 11 ก.ย. 2567 | 40187 จำนวนผู้เข้าชม |
ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ควรตรวจเช็คความสมบูรณ์ของแบตเตอรี่เพื่อให้มั่นใจว่ารถยนต์ของคุณจะไม่ไปดับอยู่กลางทาง • วิธีการตรวจเช็คมีขั้น
ตอนอย่างไร • และสาเหตุใดที่ทำให้คุณอาจต้องเปลี่ยนแบตลูกใหม่ก่อนเวลาอันควร • สัญญาณเตือนอะไรบ้างที่บ่งบอกว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่
ลูกใหม่สักที
วิธีการตรวจเช็คแบตเตอรี่
• แบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่น ต้องเช็คว่าระดับน้ำกลั่นอยู่ต่ำกว่ากว่าขีดMAX หรือไม่ ควรเติมให้ระดับน้ำอยู่พอดีกับขีดอยู่เสมอ
• แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง
- ต้องเช็คดูที่สีของตาแมว ว่าสียังอยู่ในสถานะพร้อมใช้หรือไม่ โดยดูสีสถานะของตาแมวจากฉลากที่แปะอยู่ด้านบนของ
แบตเตอรี่
- ดูที่น้ำกลั่นถ้าน้ำกลั่นหมดหรือแห้งควรเติมให้อยู่ในระดับที่กำหนด
• แบตเตอรี่แบบแห้ง ต้องเช็คดูที่สีของตาแมวอย่างเดียว เพราะไม่สามารถเติมน้ำกลั่นได้
การเช็คตาแมว
• ถ้าเป็นสีเขียว/ฟ้า (แล้วแต่ยี่ห้อ) หมายถึงแบตเต็มเป็นปกติ
• ถ้าเป็นสีขาว แสดงว่าไฟอ่อนต้องชาร์ตไฟเพิ่ม
• ถ้าเป็นสีแดง แสดงว่าน้ำกลั่นหมด ถ้าเป็นแบตกึ่งแห้งควรเติมน้ำกลั่นแต่ถ้าเป็นแบบแห้งต้องเปลี่ยนลูกใหม่
สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหากับแบตเตอรี่
• อายุการใช้งาน ถ้าแบตเตอรี่ของคุณใช้งานมาเกิน 1 ปี หรือมีการขับขี่ที่มากกว่า 20,000 กม. ก็เข้าข่ายเริ่มเสื่อมสภาพ
• ไดชาร์ทมีปัญหา ถ้ามีสัญญาณเตือนสีแดงรูปแบตเตอรี่ที่หน้าปัดรถยนต์อาจหมายความว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับไดชาร์ท
ค่ากระแสไดชาร์จ จะต้องอยู่ระหว่าง 13.5 V. – 14.5 V. เสมอ (บวกลบได้ไม่ควรเกิน 0.5 V) ในขณะที่ติดเครื่องยนต์
ค่ากระแสไดชาร์จ จะต้องอยู่ระหว่าง 13.0 V. – 14.5 V. เสมอ (บวกลบได้ไม่ควรเกิน 0.3 V) ในขณะขับขี่ เร่งเครื่อง เปิดไฟ แอร์ เครื่องเสียง
ถ้าค่ามากเกินจากที่กล่าวไว้นี้จะทำให้แบตเตอรี่ บวม ร้อน และเสื่อมได้
• ไฟรั่วหรือช๊อต
สัญญาณเตือนว่าถึงเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่
อายุเฉลี่ยการใช้งานแบตเตอรี่ทั่วไปอยู่ที่ 1-2 ปี หรือที่ 20,000 โล โดยประมาณ ขึ้นอยู่กับการใช้งานและสภาพรถของแต่ละคน ความผิดปกติที่
สันนิษฐานได้ว่าอาจจะเป็นอาการของแบตเสื่อมคือ
• สตาร์ทติดยาก
• ไฟหน้าสว่างน้อยลง
• กระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง
• ไฟในรถทำงานผิดปกติ
• ใช้งานมาแล้วเกิน 15 เดือน
13 ก.ย. 2567